1970-80: งานเดี่ยว ของ จอห์น เลนนอน

1970-72: ความสำเร็จในฐานะนักร้องเดี่ยวและกิจกรรมในช่วงแรก

ในปี 1970 เลนนอนและโอโนะเข้ารับการบำบัดพื้นฐานกับอาร์เธอร์ แจเนิฟ ในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย การบำบัดถูกออกแบบมาให้ปลดปล่อยความเจ็บปวดทางอารมณ์ในวัยเด็กออกมา การบำบัดกับแจเนิฟใช้เวลา 4 เดือน เดือนละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งวัน เลนนอนอยากบำบัดให้นานกว่านั้น แต่พวกเขารู้สึกว่าไม่จำเป็นและเดินทางกลับลอนดอน[89] อัลบั้มเพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอัลบั้มแรกของเลนนอน จอห์น เลนนอน/พลาสติกโอโนะแบนด์ (1970) ได้รับคำชมอย่างสูง นักวิจารณ์ เกรล มาร์คัส กล่าวว่า "ท่อนที่จอห์นร้องในท่อนสุดท้ายของ 'ก๊อด' อาจจะเป็นท่อนร็อกที่ดีที่สุด"[90] อัลบั้มมีเพลง "มาเธอร์" ซึ่งเลนนอนเคยต้องเผชิญกับความรู้สึกที่มีต่อการถูกปฏิเสธในวัยเด็ก[91] และเพลง "เวิร์กกิงคลาสฮีโร" เป็นการโจมตีระบบทางสังคมชนชั้นกลาง ซึ่งจากเนื้อเพลงที่ว่า "you're still fucking peasants" แสดงความรังเกียจต่อนักข่าว[92][93] ในปีเดียวกัน มุมมองทางการเมืองของทารีก อาลี ที่แสดงออกขณะสัมภาษณ์เลนนอน เป็นแรงบันดาลใจให้เลนนอนเขียนเพลง "เพาเวอร์ทูเดอะพีเพิล" เลนนอนยังพัวพันกับอาลีในการประท้วงต่อต้านการฟ้องร้องเกี่ยวกับความลามกของนิตยสารออซ เลนนอนประณามการพิจารณาคดีความนี้ว่า "ฟาสซิสม์น่าขยะแขยง" และเขากับโอโนะ (ในนาม อิลาสติกออซแบนด์) ออกซิงเกิล "ก๊อดเซฟอัส/ดูดิออซ" และร่วมเดินขบวนสนับสนุนนิตยสารดังกล่าว[94]

อัลบั้มต่อไปของเลนนอน อิเมจิน (1971) ได้รับการป้องกันจากการตอบรับที่หนักหน่วง นิตยสารโรลลิงสโตนรายงานว่า "อัลบั้มประกอบด้วยสัดส่วนของดนตรีที่ดี" แต่ตำหนิถึงความเป็นไปได้ว่า "ทัศนคติของเขาไม่เพียงแต่จะดูโง่แต่ดูไม่สัมพันธ์กันด้วย"[95] เพลงที่ชื่อเดียวกับอัลบั้มจะกลายเป็นเพลงประจำความเคลื่อนไหว้ต่อต้านสงคราม[96] ขณะที่อีกเพลงหนึ่ง "ฮาวดูยูสลีป" เป็นเพลงที่โจมตีแม็กคาร์ตนีย์ เป็นการตอบสนองเนื้อเพลงจากอัลบั้มแรม ซึ่งเลนนอนรู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับเขาและโอโนะโดยตรง และต่อมาแม็กคาร์ตนีย์ก็ยืนยันเช่นนั้น[97] อย่างไรก็ตาม เลนนอนปรับทัศนคติให้อ่อนโยนลงในกลางคริสต์ทศวรรษ 1970 และกล่าวว่าเขาแต่งเพลง "ฮาวดูยูสลีป" เพื่อพูดถึงตนเอง[98] เขากล่าวในปี 1980 ว่า "ผมเคยใช้ความโกรธเคืองพอลมาสร้างเป็นเพลงเพลง ไม่ใช่ความพยาบาทสยดสยองเสื่อมทราม ผมใช้ความโกรธเคืองและการถอนตัวจากพอลและเดอะบีเทิลส์ และความสัมพันธ์ที่มีต่อพอล มาเขียนเป็นเพลง 'ฮาวดูยูสลีป' ผมไม่ได้มัวแต่คิดแต่เรื่องพรรณนั้นอยู่ตลอดเวลา"[99]

เลนนอนและโอโนะย้ายไปที่นิวยอร์กในเดือนสิงหาคม 1971 และออกเพลง "แฮปปีเอกซ์มาส (วอร์อิสโอเวอร์)" ในเดือนธันวาคม[100] ในช่วงปีใหม่ สมัยของประธานาธิบดีนิกสันใช้สิ่งที่เรียกว่า "มาตรการต่อต้านเชิงกลยุทธ์" กับการต่อต้านสงครามและโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านนิกสันของเลนนอน เริ่มขึ้นในช่วงปีที่พยายามเนรเทศเขา ในปี 1972 เลนนอนและโอโนะเข้าร่วมเหตุการณ์ลุกฮือหลังเลือกตั้งในที่พักที่นิวยอร์กของนักกิจกรรม เจอร์รี รูบิน หลังจากแม็กโกเวิร์นพ่ายให้กับนิกสัน[101][102] หลังเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เลนนอนถูกยกเลิกสถานะผู้อยู่อาศัยถาวรของสหรัฐอเมริกา (มีผลในปี 1976)[103] เลนนอนรู้สึกหดหู่ มึนเมา และมีเพศสัมพันธ์กับแขกผู้หญิงคนหนึ่ง ปล่อยให้โอโนะรู้สึกละอายใจ เพลงของเธอ "เดทออกซาแมนธา" มีแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์นี้[104]

อัลบั้มซัมไทม์อินนิวยอร์กซิตี วางจำหน่ายในปี 1972 อัลบั้มอัดเสียงโดยเลนนอนและโอโนะร่วมมือกับวงดนตรีเบื้องหลังจากนิวยอร์กชื่อ แอลเลอเฟินส์เมมโมรี เนื่องจากอัลบั้มมีเพลงหลายเพลงเกี่ยวกับสิทธิสตรี ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ บทบาทของบริเตนในไอร์แลนด์เหนือ และปัญหาเกี่ยวกับการครอบครองบัตรสีเขียวของเลนนอน[105] อัลบั้มมีการตอบรับที่ไม่ดีนัก นักวิจารณ์คนหนึ่งกล่าวว่า ทนฟังไม่ได้[106] เพลง "วูแมนอิสเดอะนิกเกอร์ออฟเดอะเวิลด์" จำหน่ายเป็นซิงเกิลในสหรัฐอเมริกาจากอัลบั้มดังกล่าวในปีเดียวกัน ออกอากาศทางโทรทัศน์ในวันที่ 11 พฤษภาคม ทางรายการเดอะดิกแควิตต์โชว์ สถานีวิทยุหลายแห่งไม่ยอมออกอากาศเพลงดังกล่าวเพราะมีคำว่า "nigger"[107] เลนนอนและโอโนะจัดคอนเสิร์ตสองครั้งร่วมกับวงแอลเลอเฟินส์เมมโมรี และแขกรับเชิญในนิวยอร์กเพื่อหารายได้ช่วยผู้ป่วยในศูนย์สุขภาพจิตของโรงเรียนวิลโลว์บรุกสเตตสกูล[108] คอนเสิร์ตจัดขึ้นที่สวนเมดิสันสแควร์การ์เดนในวันที 30 สิงหาคม 1972 เป็นคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบครั้งสุดท้ายของเขา[109]

1973–1975: "สุดสัปดาห์ที่หายไป" (lost weekend)

ขณะที่เลนนอนกำลังอัดเสียงอัลบั้ม ไมนด์เกมส์ (1973) เขาและโอโนะตัดสินใจแยกทางกัน เวลาผ่านไป 18 เดือน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแอนเจลิสและนิวยอร์กในบริษัทของเมย์ แพง เขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า "สุดสัปดาห์ที่หายไป" (lost weekend)[110] อัลบั้มไมนด์เกมส์ออกภายใต้ชื่อศิลปินว่า "พลาสติก ยู.เอฟ.โอโนะแบนด์" ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1973 เลนนอนร่วมแต่งเพลง "ไอม์เดอะเกรตเทสต์" ในอัลบั้มริงโก (1973) ของริงโก สตาร์ วางจำหน่ายในเดือนเดียวกัน (มีอีกเวอร์ชันถึงจากตอนอัดอัลบั้มริงโก 1973 โดยเลนนอนร้องนำ ปรากฏในบ็อกซ์เซตจอห์นเลนนอนแอนโทโลจี)

ต้นปี ค.ศ. 1974 เลนนอนดื่มหนักและพฤติกรรมที่เกิดจากแอลกอฮอล์ระหว่างเขากับแฮร์รี นิลสันทำให้เกิดพาดหัวข่าว เหตุการณ์ใหญ่สองเหตุการณ์ที่เป็นข่าวเกิดขึ้นที่คลับเดอะทรูบาโดร์ในเดือนมีนาคม ครั้งแรก เมื่อเลนนอนวางผ้าอนามัยบนหน้าผากและทะเลาะกับบริกรหญิงคนหนึ่ง ครั้งที่สอง หลังจากนั้นสองสัปดาห์ เมื่อเลนนอนและนิลสันถูกไล่ออกจากร้านเดียวกันหลังจากทะเลาะวิวาทกับวงสมาเทอส์บราเธอส์[111] เลนนอนตัดสินใจทำอัลบั้มของนิลสันชื่อ พุสซีแคตส์ และแพงเช่าบ้านริมหาดที่ลอสแอนเจลิสให้กับนักดนตรีทุกคน[112] แต่หนึ่งเดือนหลังเกิดพฤติกรรมเสเพล ผนวกกับช่วงอัดเสียงเกิดความโกลาหล เลนนอนย้ายไปนิวยอร์กกับแพงเพื่อทำอัลบั้มเพลงจนเสร็จ ในเดือนเมษายน เลนนอนทำเพลง "ทูเมนีคุกส์ (สปอยส์เดอะซุป)" ของมิก แจกเกอร์ เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับสัญญา เพลงไม่ได้ออกเผยแพร่นานกว่า 30 ปี แพงบรรจุเพลงไว้ในอัลบั้มรวมเพลง เดอะเวรีเบสต์ออฟมิกแจกเกอร์ (2007)[113]

กลับไปที่นิวยอร์ก เลนนอนอัดอัลบั้ม วอลส์แอนด์บริดเจส วางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1974 ในอัลบั้มมีเพลง "วอตเอเวอร์เกตส์ยูทรูเดอะไนต์" ได้เอลตัน จอห์นมาร้องเบื้องหลังและบรรเลงเปียโนให้ และกลายเป็นซิงเกิลเดี่ยวเพลงเดียวของเลนนอนที่ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่[114]b ซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มคือ "#9 ดรีม" วางจำหน่ายตามมาในปลายปี เลนนอนช่วยแต่งเพลงและบรรเลงเปียโนให้สตาร์อีกครั้งในอัลบั้มกูดไนต์เวียนนา (1974)[115] ในวันที่ 28 พฤศจิกายน เลนนอนเป็นแขกรับเชิญในคอนเสิร์ตขอบคุณพระเจ้าของเอลตัน จอห์นที่แมดิสันสแควร์การ์เดน ตามสัญญาที่ว่าเขาจะร่วมแสดงสดหากเพลง "วอตเอเวอร์เกตส์ยูทรูเดอะไนต์" ประสบความสำเร็จและขึ้นอันดับหนึ่ง เลนนอนแสดงเพลงนั้น ร่วมด้วยเพลง "ลูซีอินเดอะสกายวิทไดมอนส์" และ "ไอซอว์เฮอร์สแตนดิงแดร์" ซึ่งเขากล่าวก่อนร้องเพลงดังกล่าวว่า "เป็นเพลงของคู่หมั้นที่บาดหมางกับผม ชื่อพอล"[116]

เลนนอนร่วมแต่งเพลง "เฟม" เพลงอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกาของเดวิด โบอี และเล่นกีตาร์และร้องเพลงเบื้องหลังขณะอัดเสียงในปี ค.ศ. 1975[117] ในเดือนเดียวกันนั้น เพลง "ลูซีอินเดอะสกายวิทไดมอนส์" ที่เอลตัน จอห์นนำมาร้องใหม่ขึ้นอันดับหนึ่ง โดยมีเลนนอนเล่นกีตาร์และร้องเบื้องหลังให้ (เลนนอนได้เครดิตในซิงเกิลภายใต้ชื่อเล่น "ดร.วินสตัน โอบูกี") ไม่นานหลังจากนั้น เขาและโอโนะกลับมารวมตัวกัน เลนนอนออกอัลบั้ม ร็อกเอ็นโรล (1975) อัลบั้มที่มีแต่เพลงทำใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ "แสตนด์บายมี" เป็นอีกเพลงจากอัลบั้มและได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร เป็นซิงเกิลสุดท้ายของเขาตลอดเวลาห้าปี[118] เขาปรากฏตัวบนเวทีครั้งสุดท้ายในงานอะซาลูตทูลิว เกรด จัดโดยเอทีวี บันทึกรายการในวันที่ 18 เมษายนและออกอากาศในเดือนมิถุนายน[119] เลนนอนแสดงเพลงจากอัลบั้มร็อกเอ็นโรลสองเพลง ("แสตนด์บายมี" ซึ่งไม่ได้ออกอากาศ และ "สลิปปินแอนด์สไลดิน") ตามด้วยเพลง "อิเมจิน" โดยเลนนอนเล่นกีตาร์โปร่งและหนุนด้วยวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีแปดชิ้น[119] วงดนตรีมีชื่อว่าเอตเซตเทรา (Etc.) สวมหน้ากากไว้หลังศีรษะ ซึ่งเลนนอนคิดเย้าแหย่ว่าเกรดเป็นพวกตีสองหน้า

1975-1980: พักงานดนตรีและการกลับมา

หลังให้กำเนิดบุตรชายคนที่สอง ฌอน ในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1975 เลนนอนทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน เริ่มจากการพักงานดนตรีนานห้าปีและใส่ใจครอบครัวของเขา[120] ภายในเดือนนั้น เขาทำสัญญาผูกมัดกับสังกัดอีเอ็มไอ/แคปิตอลว่าจะทำอัลบั้มเพลงอีกหนึ่งอัลบั้ม โดยออกอัลบั้มเชฟด์ฟิช อัลบั้มรวมเพลงที่เคยอัดไว้แล้ว[120] เขาสละเวลาตนเองให้ฌอน ตื่นนอนเวลา 6 โมงเช้าทุกวันเพื่อเตรียมอาหารและใช้เวลากับลูก[121] เขาแต่งเพลง "คุกกิน (อินเดอะคิตเชนออฟเลิฟ)" ให้สตาร์ในอัลบั้มริงโกส์โรโทกราเวียร์ และบันทึกเสียงเพลงนี้ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นการบันทึกเสียงครั้งสุดท้ายของเขาจนปี ค.ศ. 1980[122] เขาประกาศพักงานดนตรีอย่างเป็นทางการในโตเกียวในปี ค.ศ. 1977 โดยกล่าวว่า "เราตัดสินใจแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว เราจะอยู่กับลูกของเราให้นานที่สุดจนเรารู้สึกว่าเราจะขอปลีกตัวออกมาทำสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากครอบครัวได้อีก"[123] ในช่วงพัก เขาวาดภาพหลายภาพ และร่างหนังสือรวบรวมเรื่องราวอัตชีวประวัติและสิ่งที่เขาเรียกว่า "สิ่งของวิกลจริต" (mad stuff)[124] ทั้งหมดได้รับการตีพิมพ์หลังเขาเสียชีวิต

หลังพักงานดนตรี เลนนอนกลับมาในวันที่ตุลาคม ค.ศ. 1980 โดยออกซิงเกิล "(จัสต์ไลก์) สตาร์ทิงโอเวอร์" ตามมาด้วยอัลบั้มดับเบิลแฟนตาซีในเดือนถัดมา อัลบั้มมีเพลงที่แต่งระหว่างเลนนอนเดินทางไปเบอร์มิวดาบนเรือใบยาว 43 ฟุต เมื่อเดือนมิถุนายน[125] ซึ่งสะท้อนถึงความอิ่มเอมในชีวิตครอบครัวที่มั่นคง[126] ต่อมามีการวางแผนอัดเสียงอัลบั้มเพลงถัดไปคือ มิลก์แอนด์ฮันนี (ออกจำหน่ายหลังเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1984)[127] อัลบั้มดับเบิลแฟนตาซีออกจำหน่ายร่วมกันในนามเลนนอนและโอโนะ ได้รับการตอบรับที่ไม่ดีนัก ความคิดเห็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์เมโลดีเมเกอร์กล่าวว่า "ตามใจตัวจนเป็นหมัน ... เรื่องน่าเบื่อที่โหดร้าย"[128]

8 ธันวาคม 1980: การเสียชีวิต

สตรอเบอรีฟิลส์ในเซนทรัลพาร์ก และเดอะดาโคตาอยู่เบื้องหลัง

เวลา 22:50 น. วันที่ 8 ธันวาคม 1980 ขณะเลนนอนและโอโนะกลับเข้าห้องพักเดอะดาโคตา ในรัฐนิวยอร์ก มาร์ก เดวิด แชปแมนยิงเลนนอนเข้าที่หลัง 4 ครั้งที่ทางเข้าอาคาร เลนนอนถูกนำตัวส่งห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลรูสเวลต์ และประกาศว่าเลนนอนเสียชีวิตขณะพามาโรงพยาบาลในเวลา 23:00 น.[129] เย็นวันนั้น เลนนอนเพิ่งได้แจกลายเซ็นบนปกอัลบั้มดับเบิลแฟนตาซีให้กับแชปแมน[130]

โอโนะให้สัมภาษณ์ในวันถัดมาว่า "จะไม่มีงานศพจอห์น" และปิดท้ายว่า "จอห์นรักและสวดมนต์แด่ชาติพันธุ์มนุษย์ โปรดช่วยกันสวดมนต์ภาวนาถึงสิ่งเดียวกันเพื่อเขาเถิด"[131] ศพของเขาถูกฌาปนกิจที่สุสานเฟิร์นคลิฟฟ์เซเมเทรี ในฮาตส์เดล รัฐนิวยอร์ก โอโนะโปรยอัฐิของเขาที่เซนทรัลพาร์กในนิวยอร์ก ที่ที่ต่อมากลายเป็นอนุสรณ์สตรอเบอรีฟิลส์[132] แชปแมนสารภาพผิดต่อคดีฆาตกรรมระดับสองและได้รับตัดสินจำคุก 20 ปีถึงตลอดชีวิต[133] นับถึงปี 2016 เขายังคงอยู่ในคุก และถูกปฏิเสธการปล่อยตัวถึงแปดครั้ง[134]

แหล่งที่มา

WikiPedia: จอห์น เลนนอน http://annarborchronicle.com/2009/12/27/the-day-a-... http://www.bloomberg.com/news/2014-08-22/john-lenn... http://www.johnlennon.com http://www.johnlennon.com/ http://performingsongwriter.com/john-lennon-fbi-fi... http://rockhall.com/event/john-lennon/?flavour=mob... http://nysdoccslookup.doccs.ny.gov/GCA00P00/WIQ3/W... http://www.telegraph.co.uk/culture/culturenews/412... https://commons.wikimedia.org/wiki/John_Lennon?set...